เปิดไอเดีย “ครูเบล” ผู้หญิงเก่ง ยุคนิวนอร์มอล

ข่าว สัมภาษณ์ ครูเบล คมชัดลึก

เปิดไอเดียผู้หญิงเก่ง “ครูเบล” กับประสบการณ์เรียนในสิงคโปร์กว่า 7 ปี มีผลการเรียนเป็นอันดับ 1 ของชั้น ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน เผยเคล็ดลับความสำเร็จต้องสร้างเป้าหมาย พร้อมแนะผู้ปกครองยุค New normal

ระบบการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ถือได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การที่เด็กไทยจะสอบเข้าโรงเรียนของรัฐบาลสิงคโปร์ได้นั้น เป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะด่านแรกที่เด็กจะต้องผ่านก็คือ การสอบ AEIS (Admissions Exercise for International Students) ซึ่งเป็นข้อสอบสำหรับเด็กต่างชาติที่ไม่ใช่คนสิงคโปร์ นับเป็นประตูสำคัญในการไปหาประสบการณ์การศึกษาที่ประเทศสิงคโปร์

Krubell AEIS

อย่างไรก็ตามหากย้อนไปดูประวัติเด็กไทยที่เคยไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ ป.4 และจบ sec 4 ( O-Level) โดยในระดับการศึกษา Sec 1 – 3 มีผลการเรียนเป็นอันดับ 1 ของชั้นติดต่อกัน 3 ปีซ้อน เธอคือคุณศุภนุช ชือรัตนกุล หรือที่เด็กๆ หลายคนเรียกเธอว่า “ครูเบล”

คุณศุภนุช ชือรัตนกุล (ครูเบล) เล่าย้อนให้ฟังถึงประวัติสมัยเริ่มไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลสิงคโปร์ว่า ความสำเร็จของเบลในวันนั้นมาจากครอบครัวก็คือคุณแม่ ซึ่งท่านเป็นคนเก่งมีวิสัยทัศน์ที่ดีและกล้าตัดสินใจ ถ้ารู้ว่าอะไรดีจะพุ่งไปที่เป้าหมายนั้นและวางเส้นทางไว้ให้ลูก ๆ

โดยพี่ชายของเบลเป็นคนแรกที่ไปสิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก ตอนเดินทางไปใหม่ ๆ แม่บอกเพียงแค่ว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวและสั่งให้ทุกคนเก็บของ แต่พอไปถึงสิงคโปร์เท่านั้นแม่ก็พาไปดูบ้าน Host family ที่จะให้พี่ชายไปพักอยู่ แม่ของเบลใช้อุบายให้พี่ชายไปเล่นสระว่ายน้ำ สักพักแม่ก็บอกว่าให้อยู่ที่บ้านนี้นะ จากนั้นแม่ก็กลับกรุงเทพฯ ทันทีแบบที่พี่ชายเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

ส่วนคนที่สองคือตัวเบลเอง ซึ่งก่อนที่จะเดินทางไปสิงคโปร์เบลรู้อยู่ในใจแล้วว่าแม่ต้องการให้อยู่สิงคโปร์เช่นเดียวกับพี่ชายเพียงแค่อยู่กันคนละโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งในช่วงแรกที่เบลไปอยู่บอกได้เลยว่าฟังภาษาอังกฤษไม่ออกและพูดไม่ได้เลย ทำให้น้ำหนักลดลงไปถึง 13 กิโลกรัม แต่ไม่นานภายใน 3 เดือน ก็เริ่มพูดได้ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ไปอยู่

เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ทุกคนต้องพูดภาษาอังกฤษ เราจึงต้องปรับตัวและอยู่กับมันให้ได้ เบลได้เริ่มเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่อายุ 11 – 17 ปี คือแรกเริ่มเข้าตั้งแต่ ป.4 และจบ sec 4 (O-Level) โดยในระดับการศึกษา Sec 1 -3 มีผลการเรียนเป็นอันดับ 1 ของชั้นติดต่อกัน 3 ปีซ้อน

และได้กลับมาศึกษาต่อในระดับปริญาตรี Mahidol University International College (MUIC) สาขาวิชาชีววิทยา โดยมีผลการเรียนเกียรตินิยมอันดับ 1 และได้รับทุนรัฐบาลไทยให้ศึกษาต่อปริญญาโทที่สถาบัน Asian Institute of Technology (AIT) และนอกจากผลงานด้านการศึกษาแล้ว ช่วงที่กำลังเรียนอยู่มีความสนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย จึงได้สมัครและรับทุนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศถึง 9 ประเทศ ยังได้ร่วมกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย

ครูเบล เปิดเผยด้วยว่า สำหรับในยุค New normal ซึ่งเกิดขึ้นมาจากภาวะวิกฤตการระบาดของโควิด-19( COVID-19) ส่งผลให้โรงเรียนต้องเลื่อนการเปิดเทอม เด็กนักเรียนและผู้ปกครองเองก็ต้องมีการปรับตัว

“ในมุมมองของเบลมองว่า อารมณ์ของเด็ก ๆ ตอนนี้อยากไปโรงเรียนมาก เนื่องจากจะได้เจอเพื่อน ๆ ได้เรียนหนังสือ ในขณะที่ผู้ปกครองเองก็เริ่มรับมือไม่ไหวที่จะต้องเฝ้าเด็กในช่วงที่ต้องเรียนออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กเล็ก ที่มักจะอยู่ไม่นิ่ง อย่างไรก็ตามยอมรับการเรียนแบบตัวต่อตัวจะช่วยให้เด็กมีสมาธิและจดจ่อกับการเรียนมากกว่า”ครูเบล ระบุ

 แต่สำหรับการเรียนออนไลน์ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เด็ก ๆ ในต่างจังหวัด ได้เข้าถึงเนื้อหาเท่าเทียมกับเด็กในกรุงเทพฯ หรือในเมืองใหญ่ ๆ ทำให้เด็กสามารถเรียนกับครูดัง ๆ ได้ ซึ่งที่สิงคโปร์ได้ทำการเรียนออนไลน์แล้วสามารถประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนได้มากขึ้น แต่ของประเทศไทยเรานั้นมีอุปสรรคที่สำคัญคือ ความไม่พร้อมในเรื่องเทคโนโลยี เด็กต้องมีอุปกรณ์ที่ดีสามารถรองรับการเรียนออนไลน์ได้ และก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม ยิ่งถ้าเป็นในพื้นที่ห่างไกลการเข้าถึงยิ่งยากลำบากกว่า

สำหรับในมุมมองของผู้ปกครองเองต่างก็ต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตร-หลานด้วยเป็นหลัก โรงเรียนหรือสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ ก็ต้องเตรียมมาตรการการป้องกันไว้อย่างดี ผู้ปกครองบางท่านเลือกที่จะรอให้การระบาดของ COVID-19 ผ่านพ้นไปก่อนค่อยส่งบุตร-หลานไปเรียน

การเรียนออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากมีความกังวลว่าการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ไม่มีความเข้มข้นเท่าการไปโรงเรียน ทางเบลเองก็มีวิธีแก้คือปรับที่คอนเทนต์ ถ้าเด็กเรียนแล้วไม่สนุกหรือรู้สึกว่าเด็กไม่จดจ่อกับการเรียน ครูก็ปรับต้องปรับคอนเทนต์เป็นรูปแบบอื่นเช่น วีดีโอ หรือการ์ตูน เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจและสามารถนั่งเรียนต่อเป็นชั่วโมงได้

“ เบลจะบอกและสอนน้อง ๆ เสมอโดยเฉพาะคนที่อยากไปเข้าเรียนที่สิงคโปร์ คือ ต้องกล้าตั้งเป้าหมายให้สูงไว้ เพราะที่นั่งที่กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ได้จัดให้กับเด็กต่างชาตินั้นมีน้อย สิงคโปร์จะใช้วิธีให้เด็กจากทั่วโลกมารวมกันแล้วสอบแข่งขันเพื่อคัดนักเรียนท็อป 10 แต่ก็ยังมีเด็ก ๆ อยากจะไป เพราะระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้นถือว่าอยูในอันดับต้น ๆ ของโลก

ด้วยการเรียนการสอนที่เป็นระบบ ไม่เน้นท่องจำ แต่เน้นการเข้าใจ เน้นแอปพลิเคชั่นให้เด็กเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก และมีความปลอดภัย สุดท้ายอยากจะบอกว่าการที่เด็กจะเก่งหรือไม่เก่งต้องดูที่เด็กคนนั้นมีเป้าหมายไหม เบลจะเน้นย้ำสอนการตั้งเป้าและส่งเสริมให้เด็กลงมือทำด้วยตัวเอง” ครูเบล กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามข้อมูลจากครูเบล

ผู้ปกครอง และน้องๆ ที่สนใจ สามารถแชทคุยกับครูเบลได้เลยนะคะ

SAT Math เนื้อหาข้อสอบ และเทคนิคเตรียมตัวก่อนสอบ

ข้อสอบ SAT Math Practice Test

SAT Math คืออะไร

น้องๆ คงจะรู้จักข้อสอบ SAT กันแล้ว แต่ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงข้อสอบ SAT Math ซึ่งคือหนึ่งในข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบที่น้องๆ จะต้องสอบก่อนสำหรับการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นข้อสอบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศสำหรับหลักสูตรนานาชาติ โดยข้อสอบ SAT จะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แบ่งเป็นการทดสอบความสามารถด้านคณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงในส่วนของคณิตศาสตร์ หรือ SAT Mathematics กัน

ข้อสอบ SAT Mathematics คือ ข้อสอบที่วัดความถนัดในด้านคณิตศาสตร์ โดยข้อสอบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ให้ใช้เครื่องคิดเลขได้ และส่วนที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข ซึ่งจะมีคะแนนรวมทั้งหมด 800 คะแนน

SAT Math ส่วนที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข

ส่วนที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข มีโจทย์ทั้งหมด 20 ข้อ โดยน้องๆ จะมีเวลาทำ 25 นาที ในส่วนนี้ จะเป็นการคำนวนเบื้องต้น ไม่ซับซ้อนมาก จะเน้นเรื่องความเข้าใจในคณิตศาสตร์ หรือ การแก้ปัญหาด้วยตรรกะทางคณิตศาสตร์

SAT Math ส่วนที่ใช้เครื่องคิดเลขได้

ส่วนที่ใช้เครื่องคิดเลขได้ มีโจทย์ทั้งหมด 38 ข้อ มีเวลาทำ 55 นาที ข้อสอบส่วนนี้จะเริ่มมีความซับซ้อน ตัวเลขที่ต้องใช้คำนวนจะเยอะขึ้น บ้างเรื่องจะเกี่ยวกับกราฟ ซึ่งน้องๆ ที่มีเครื่องคิดเลขแบบ Graphical Calculator ก็สามารถนำเข้าไปได้

หากเทียบเนื้อหาวิชาเลขในประเทศไทย โดยรวมแล้วข้อสอบคณิตศาสตร์จะไม่ค่อยยากมากหากน้องๆ มีพื้นฐานคณิตศาสตร์มาบ้างแล้ว เพราะเด็กไทยจะค่อนข้างถนัด Math มากกว่าในส่วนของ Reading และ Writing

แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้น้องๆ เตรียมตัวให้พร้อม และทำโจทย์ให้เยอะก่อนลงสนามสอบ เพื่อให้คุ้นเคยกับรูปแบบคำถาม โดยเฉพาะเรื่องเวลา เพราะในส่วนที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข น้องๆ จะมีเวลาเฉลี่ยข้อละ 1 นาทีเท่านั้น และในส่วนที่ให้ใช้เครื่องคิดเลขได้ จะมีเวลาเฉลี่ยข้อละ 1 นาทีครึ่งเท่านั้น ดังนั้นต้องมีสติให้ดี และห้ามเสียเวลากับข้อใดข้อหนึ่งนานเกินไป เพราะอาจจะทำให้ไม่มีเวลาทำข้อหลังๆ ซึ่งอาจจะเป็นข้อที่เราถนัดก็เป็นได้

SAT Math ข้อสอบ
SAT Math (ภาพโดย collegeboard.org)

3 เนื้อหาหลัก ของข้อสอบ SAT Mathematics

ข้อสอบ SAT ในส่วนของการวัดความถนัดด้านเลขนั้นจะแบ่งเป็น 3 เนื้อหาหลักๆ ดังนี้

Algebra

ส่วนนี้จะเป็นเนื้อหาที่ทดสอบความเข้าใจในแก่นของ Algrbra โดยคำถามบางส่วนจะเกี่ยวข้องกับ Linear Equation เช่น การแก้สมการ Linear Equation แบบ 1 ตัวแปร และ 2 ตัวแปร รวมถึงความสัมพันธ์ของสมการ และกราฟเส้นตรง

Passport to Advanced Math

ในส่วนนี้จะเริ่มเป็นระดับ Advance ขึ้น เพื่อต้องการทดสอบว่าเรามีพื้นฐานพอที่จะเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น ต้องวิเคราะห์ข้อมูล และตัวเลขมากขึ้น รวมไปถึง Polynomials Functions, Exponential Functions และ Absolute Value Equations เป็นต้น

Problem Solving and Data Analysis

เนื้อหาส่วนนี้จะเน้นการทดสอบการใช้ความรู้ด้านคณิตศาสตร์มาวิเคราะห์ และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยอาจจะเป็นโจทย์ที่อิงกับเรื่องราวรอบๆ ตัว หรือเป็นการให้ข้อมูลมาวิเคราะห์ด้านสถิติต่างๆ เป็นต้น

ซึ่งในข้อสอบจะไม่ได้ระบุว่าข้อไหนคือเนื้อหาประเภทอะไร การเตรียมตัวให้พร้อม รวมถึงการทำ SAT Practice Test จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ทักษะทางคณิตศาสตร์ที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนสอบ

ทักษะหลักๆ ที่ครูเบลอยากให้น้องๆ เตรียมตัวให้ดี และให้แม่นก่อนสอบมีอยู่ 6 เรื่องด้วยกัน น้องๆ คนไหนที่กำลังมองหา SAT Mathematics Practice Test หรือตัวอย่างข้อสอบ แนะนำให้ดูว่ามีเนื้อหาเหล่านี้ครบถ้วน

  1. Statistic and Analysis: เรื่องการวิเคราะห์ และ สถิติ ส่วนมากจะมาเป็นชุดตัเลข ชุดข้อมูล หรือ Data ให้น้องๆ สรุป หรือวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น
  2. Linear: เรื่องสมการเส้นตรง
  3. Exponential: สมการ Exponential
  4. Ratio / Proportion: เรื่องสัดส่วน
  5. Percentage: เรื่องร้อยละ หรือเปอร์เซ็นต์
  6. Probability: เรื่องความน่าจะเป็น โดยอาจจะมีโจทย์ และให้น้องๆ ลองคิดความน่าจะเป็นของ Case ในข้อสอบ

แต่ละเรื่องก็อาจจะเป็นโจทย์แบบ Algebra ทั่วๆ ไป หรืออาจจะเป็นแบบ Advanced ก็ได้ ซึ่งเวลาสอบจริง หากข้อไหนที่คิดว่าทำไม่ได้แน่ๆ แนะนำให้ข้ามไปทำข้อที่ทำได้ก่อน หากมีเวลาค่อยกลับมาดูอีกครั้ง แบบนี้จะช่วยให้น้องๆ ไม่เครียดกับการจดจ่ออยู่ที่ข้อใดข้อหนึ่ง และไม่เป็นการใช้เวลากับข้อใดข้อหนึ่งเยอะเกินไป

อย่างไรก็ตาม การทำโจทย์เตรียมพร้อมก่อนสอบนั้นสำคัญมาก ต้องลองทำโจทย์เยอะๆ ข้อไหนทำไม่ได้ให้ลองจดเอาไว้ว่าเป็นเรื่องไหนใน 6 ข้อ จะได้รู้ว่าเรายังอ่อนเรื่องไหน จะได้ฝึกฝนทำโจทย์เรื่องนั้นให้มากขึ้น

ข้อสอบ SAT เปิดให้สอบปีละ 4 ครั้ง น้องๆ ควรวางแผนสมัครล่วงหน้าพอสมควร เพราะสนามสอบจะเต็มเร็วมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพ และที่สำคัญ ควรเตรียมตัวให้ดีก่อนไปสอบจะฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองหรือหาที่เรียนเพิ่มก็ได้ เพื่อที่จะได้คะแนนตามที่คาดหวัง และไม่ต้องสอบซ้ำหลายรอบ

หากน้องๆ กำลังสอบ SAT เพื่อไป เรียนสิงคโปร์ หรือเรียนมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องการให้ครูเบลช่วยติวให้ หรืออยากขอคำแนะนำจากครูเบล สามารถสอบถามครูเบลได้เลยค่ะ

สอบถามข้อมูลจากครูเบล

ผู้ปกครอง และน้องๆ ที่สนใจ สามารถแชทคุยกับครูเบลได้เลยนะคะ

AEIS คืออะไร สอบ AEIS เตรียมตัวอย่างไร

AEIS คือ การสอบ AEIS เตรียมตัวสอบ S-AEIS

AEIS คืออะไร

AEIS คือ Admissions Exercise for International Students ข้อสอบสำหรับนักเรียนที่ต้องเข้าเรียนประเทศสิงค์โปร์

aeis คือ ข้อสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นข้อสอบที่ใช้สอบสำหรับเด็กที่ไม่ใช่คนสิงค์โปร์เท่านั้น ซึ่งเด็กนักเรียนคนสิงคโปร์เองจะไม่ใช้ข้อสอบนี้ หลักการคือทางกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงค์โปร์จะรวบรวมที่นั่งทั้งหมดที่ว่างของโรงเรียนในสิงคโปร์และแบ่งให้คนสิงคโปร์ที่ต้องการก่อน หลังจากนั้นให้ คน Permanent Resident (PR) แล้วที่เหลือทั้งหมดจึงค่อยมาจัดสรรให้เด็กต่างชาติ (คนที่ไม่ใช่คนสิงค์โปร์) 

โดยผลคะแนนการสอบจะเป็นตัวตัดสินให้เด็กๆได้เข้าเรียนหรือไม่ หลังจากสอบเสร็จ หากสอบได้ เค้าจะแจ้งชื่อโรงเรียนให้เราเลย (ไม่มีสิทธิ์เลือกหรือย้ายโรงเรียนใดๆ) ผู้ปกครองสามารถอ่านข้อมูลสำหรับการ สมัคร สอบ aeis 2020 ได้ที่เวปหน้านี้ข้างล่างนะค่ะ เพื่อที่จะรู้ว่า aeis คือประตูด่านสำคัญที่ผู้ปกครองและน้องจะเดินผ่านไปให้สำเร็จง่ายขึ้นได้อย่างไร ครูเบลมีเทคนิคที่จะช่วยให้น้องทำคะแนนได้ดีขึ้นค่ะ โดยเรามาเริ่มทีละหัวข้อนะค่ะ

 

การสมัคร สอบ AEIS 2020

จากข้อมูลในเวปหลักของประเทศสิงค์โปร์ในหน้า aies คือ? ได้แจ้งไว้ว่าการ สอบ aeis 2020 จะเปิดรับสมัครช่วงเดือนกรกฎาคม 2563 สำหรับข้อมูลที่ชัดเจนทางประเทศสิงค์โปร์จะประกาศให้ทราบทั่วกันในช่วงเดือนเมษายน 2563 นี้ค่ะ

หากเราสอบไม่ผ่าน เราสามารถสมัครสอบรอบ 2 ได้ นั้นก็คือ SUPPLEMENTARY ADMISSIONS EXERCISE FOR INTERNATIONAL STU-DENTS (S-AEIS) โดยหลักๆการสอบเข้ารรรัฐบาลสิงคโปร์มี 2ครั้งต่อปี

  • สอบเข้าเปิดเทอมใหญ่ = AEIS
  • สอบเข้ากลางเทอม = S-AEIS

AEIS สามารถสอบได้ตั้งแต่ ชั้น

  • Primary 2 to Primary 5
  • Secondary 1 to Secondary 3

S-AEIS สามารถสอบได้ตั้งแต่ ชั้น

  • Primary 2 to 4
  • Secondary 1 to 2

การสอบที่สิงคโปร์ จะไม่มีการสอบเข้าชั้น Primary 6 เพราะเป็นปีที่เค้าสอบ PSLE กัน

หากน้องๆ หรือผู้ปกครองสนใจ บริการสมัครสอบ AEIS ก็สอบถามครูเบลได้ค่ะ

เตรียม สอบ AEIS คือ สมัครสอบ AEIS SAEIS

PSLE คืออะไร

PSLE คือ Primary School Leaving Examination จะเป็นข้อสอบสำหรับเด็กๆที่เรียนที่สิงคโปร์อยู่แล้ว จะเป็นข้อสอบเพื่อวัดผลว่าเราจะไปเรียน Secondary School ที่ไหน โดยคะแนนเต็มอยู่ที่ 300 คะแนน เด็กๆจะสอบกัน 4 วิชา

  1. English
  2. Mathematics
  3. Science
  4. Mother tongue

ถ้าสอบในไทย เราจะเรียก iPSLE นะคะ เลือกสอบ 3 วิชาได้ค่ะ ไม่สอบ Mother tongue (Chinese) และที่ไม่ให้สอบเข้าชั้นม.4 เพราะ เด็กๆจะต้องสอบ O’Level กันค่ะ

ขั้นตอนการสอบ AEIS

ตามข้อมูลของเวปหลักในประเทศสิงค์โปร์ในหน้า aeis คือ? ได้อธิบายวิธีการสมัครสอบ aeis 2020 โดยลำดับขั้นตอนด้านล่างนี้ค่ะ

  • ยื่นใบสมัครทางออนไลน์และชำระเงินค่าสมัครสอบ ส่งเอกสารที่ใช้สมัครทางออนไลน์ (ตรงนี้ครูเบลมีช่วยได้ค่ะ ขอให้รีบแจ้งครูโดยเร็วที่สุดเพราะว่าจากประสบการณ์ของครู เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวันเริ่มรับสมัครค่ะ)
  • รับข้อมูลทางอีเมล์
  • เข้าสอบที่สนามสอบประเทศสิงค์โปร์ (Singapore Expo)
  • ประกาศผลการสอบทาง MOE website
  • น้องเข้ารายงานตัวที่โรงเรียนด้วยตัวเอง

สอบ AEIS 2020 ให้สำเร็จ

AEIS คือ สอบ AEIS การ เตรียมตัวสอบ AEIS S-AEIS คือ

ทำไมการสอบ aeis จึงเป็นเรืองท้าทาย นั้นก็เพราะว่า หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าสอบ AEIS นั้นยากมากๆ บางคนสอบ 2-3รอบกว่าจะติด และน้องๆหลายๆคนยอมลดชั้น 1 – 2 ปีเพื่อให้ได้เรียน

  1. เด็กไทยไม่เคยเรียนด้วยระบบสิงคโปร์มาก่อน
  2. เด็กไทยหากไม่ได้เรียน โรงเรียนหรือหลักสูตร Inter ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาษาอังกฤษยาก
  3. เราไปสอบแข่งกับเด็กต่างชาติ เช่น จีน เวียดนาม และอินเดีย ฯลฯ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้พูดภาษาอังกฤษโดยปกติอยู่แล้ว บางกลุ่มมีความชำนาญทางด้านเลขมากๆ และ
  4. การสอบ aeis 2020 ไม่มีเกณฑ์การตัดคะแนนว่าเท่าไรคือผ่าน แต่จะเอาการจัดอันดับตามคะแนน นั้นคือหากในปีนั้นๆ เด็กไปสอบมีแต่เด็กเก่งๆ อาจจะหมายถึงเราต้องได้คะแนน 85 – 90 เต็ม 100 กันเลยที่เดียวจึงจะสอบผ่าน

ข้อสอบ aeis คือ ข้อสอบเลขและอังกฤษด้วยกัน สำหรับการดูข้อมูลการรายละเอียดการสมัครสอบของเวปหลักกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงค์โปร์ได้ที่ https://www.moe.gov.sg/admissions/international-students/admissions-exercise

เด็กทุกคนที่สอบข้อสอบ AEIS นี้ผ่าน ก็ต้องถือว่าเก่งมากๆ และ สามารถเรียนที่สิงคโปร์ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเด็กๆจะเครียด

แล้วสำคัญคือ ทำยังไงถึงสอบผ่าน ? หลักๆ มี 3 วิธีค่ะ

  1. ติวสอบที่เมืองไทย
  2. ลาออกแล้วติวสอบ Full time ที่ไทย
  3. ลาออกแล้วติวสอบ Full time ที่สิงคโปร์

ครูเบลสามารถช่วยได้ทั้ง 3วิธี และสำหรับผู้ปกครองที่อยากให้ครูเบลช่วย สามารถแชท Line กับครูเบลโดย คลิกที่นี่ได้เลยค่ะ

เทคนิคของครูเบลช่วยน้องสอบ AEIS

ด้วยประสบการณ์การสอนกว่า 10 ปีของครูเบลจะทำให้ aeis คือ เรื่องง่ายขึ้นสำหรับน้องๆ และทำให้การ สอบ aeis 2020 เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองและน้องสามารถวางแผนการศึกษาในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ ครูเบลเป็นคนสอนสนุก น้องๆที่ได้มาเรียนกับครูเบลจากที่ไม่ชอบวิชาในระบบโรงเรียนก็ยังสามารถทำคะแนนได้ดี

Technique บางส่วน

ครูเบลจะสอนน้องๆตั้งเป้าหมายของตัวเอง เช่นอยากสอบติดสิงคโปร์ปีนี้ ให้เป็นเป้าของตัวน้องเอง เพื่อที่เด็กๆจะได้อยากไปเอง แล้วผปคค่อยเป็น support ให้ แล้วครูก็จะมาตั้ง Action Plan กับเด็กๆว่าทำยังไง เค้าถึงจะไปให้ถึงตรงนั้น

Technique พวกนี้ ครูเบลได้ตอนที่ได้ทุนไปเรียนที่ อเมริกา และ ญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้สอนให้ครูทำ Reflection และวางแพลนอนาคต เลยเอา Technique พวกนี้มาสอนน้องๆ น้องๆสามารถเอาไปปรับใช้กับชีวิตตัวเองเรื่องๆอื่นๆได้ด้วยค่ะ

สอบถามข้อมูลจากครูเบล

ผู้ปกครอง และน้องๆ ที่สนใจ สามารถแชทคุยกับครูเบลได้เลยนะคะ

แชร์ประสบการ การเตรียมตัวเรียนสิงคโปร์ในระดับ ประถม และมัธยม

เรียนสิงคโปร์ เรียน singapore เรียนต่อสิงคโปร์ ครูเบล

การไป เรียนสิงคโปร์

การไป เรียนสิงคโปร์ มีทั้งหมด 3 แบบ

  • แบบที่ 1 เรียน รรรัฐบาลสิงคโปร์ สอบข้อสอบ AEIS
  • แบบที่ 2 เรียน รรเอกชน กึ่งรัฐบาล โดยยังใช้การเรียนการสอนแบบสิงคโปร์อยู่
  • แบบที่ 3 เรียน รรอินเตอร์ ในสิงคโปร์

ทั้งหมดทั้ง 3 แบบมีข้อดี  ข้อเสียต่างกันดังนี้

แบบที่ 1 เรียน รรรัฐบาลสิงคโปร์

ข้อดี: ค่าเรียนถูก ระบบการศึกษาดี

ข้อเสีย: สอบข้อสอบ AEIS ต้องถึอว่าหินเลย

แบบที่ 2 รรเอกชน กึ่งรัฐบาล โดยยังใช้การเรียนการสอนแบบสิงคโปร์อยู่

ข้อดี: ค่าเรียนไม่แพงมาก ยังใช่ระบบสิงคโปร์อยู่

ข้อเสีย: อ่อนกว่ารรรัฐบาล  โดยมีแค่ 2 รร คือ Sanyu Adventist School และ St Francis Methodist School

แบบที่ 3 เรียน รรอินเตอร์ ในสิงคโปร์

ข้อดี: เข้าง่ายที่สุด สามารถเลือกรรที่เราอยากเรียนได้  บางรรมี Boarding

ข้อเสีย: การเรียนจะอ่อนกว่ารัฐบาล มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า

ทำไมหลายคนจึงนิยมไปศึกษาต่อประเทศสิงคโปร์

  1. ได้ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
  2. ระบบการศึกษาเค้าจะสอนให้เด็กคิด วิเคราะห์เชิงลึก และไม่เน้นท่องจำ
  3. สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย ทำให้น้องๆได้เรียนรู้จากหลายวัฒนธรรม และจะมีทักษะการปรับตัวได้เป็นอย่างดี
  4. ประเทศสิงค์โปร์อยู่ใกล้ประเทศไทย เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน จะสามารถเดินทางไปหาลูกได้สะดวก และตั้งแต่มี low cost airline ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับถูกมาก
  5. เป็นประเทศที่ปลอดภัย ปลอดมลพิษและสะอาด
  6. โดยวัฒนธรรมของที่โน้น จะสอนให้เด็กรู้จักดูแลรับผิดชอบตนเอง ทั้งในเรื่องการดูแลสุขภาพและการใช้เงิน
  7. การศึกษาที่โน้น จะเน้นให้เด็กกล้าแสดงออกอย่างถูกต้อง

การสอบเข้าเรียนที่ประเทศสิงค์โปร์

เด็กต่างชาติที่ต้องการเรียนโรงเรียนรัฐที่สิงค์โปร์ ต้องเข้าสนามสอบ Admissions Exercise for International Students (AEIS) ของระบบการศึกษาประเทศสิงค์โปร์โดยรัฐบาลสิงค์โปร์เท่านั้น ดังนั้นผลคะแนนการสอบจึงเป็นเรื่องหลัก

จึงทำให้น้องๆ ที่อยากเรียนสิงค์โปร์ ต้องเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการเพื่อให้รู้แนวข้อสอบและวิธีการตอบคำถาม ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมากกับระบบการศึกษาของประเทศไทย

ตอบทุกคำถามกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนส่งลูกไป เรียนสิงคโปร์

เรียนสิงคโปร์ เรียน singapore เรียนต่อสิงคโปร์ ครูเบล

1. ผู้ปกครองกังวลว่าเด็กจะเครียด

ผู้ปกครองหลายๆคน เป็นกังวลว่าเรียนที่ประเทศสิงคโปร์แล้วเด็กๆจะเคลียด ครูอยากบอกว่า เด็กๆหากสอบได้ แสดงว่าเค้าเก่งพอ แล้วเค้าจะเอาตัวรอดได้ ให้เราไว้ใจลูก ว่าลูกกำลังอยู่ใน Process ของการเติบโต ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เด็กๆตอนไปเรียนไม่รู้หรอกว่าเคลียด แต่หากผู้ใหญ่พูดบ่อยๆว่าไปเรียนแล้วเครียล เด็กจะรู้สึกจากคำพูดของเรา ตอนที่เด็กๆไปเรียนที่รร เค้าจะมีเพื่อน มีกิจกรรม ที่ทำให้เค้าสนุก อีกอย่าง เด็กๆเรียนกันครึ่งวัน แล้วก็ทำ กิจกรรมกันแล้วค่ะ

2. ค่าใช้จ่ายในการ เรียนต่อสิงคโปร์

ในฐานะคุณพ่อ คุณแม่ ครูอยากบอกแบบนี้ว่า ให้เตรียมกำลังทรัพย์ ให้น้องให้พร้อม (ปีละ 700,000บาท minimum ) เพราะถึงเวลาสอบ ถ้าน้องสอบติด ก็จะสามารถส่งให้เรียนได้เลย อีกเรื่องคือเราควรจะกันเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเอาไว้ให้ลูกเรียนได้อีก2-3ปี เพราะเราทำธุรกิจ อะไรก็ไม่แน่นอน หากธุรกิจไม่สำเร็จ อย่างน้อยน้องยังสามารถเรียนต่อสิงคโปร์จนจบได้ค่ะ

3. ไปสิงคโปร์แล้วได้ภาษาจีนมั้ย

ไปสิงคโปร์แล้วได้ภาษาจีนมั้ย เด็กๆหลายๆคนลงเรียนจีนที่ไทยเป็นวิชาเสริม วิชาเสริมพวกนี้จะเรียนว่า Basic มากๆหากเทียบกับเรียนภาษาจีนแบบ Mother tougue เพราะเรียนจีนแบบภาษาแม่ หมายถึงน้องพูดจีนตั้งแต่เล็ก เรียนจีนแบบอ่านออก เขียนได้  แต่หากเด็กๆไปก่อนอายุ 10ขวบ หรือพอมีพื้นฐานจีนมาอยู่บ้าง แล้วเกิดสอบได้ชั้น Primary 5 ครูก็จะแนะนำให้เลือกเรียนจีน!! เพราะเราไปถึงถิ่นแล้ว หากตั้งใจ ก็ทำได้ค่ะ

(เด็กๆที่ตั้งใจเรียนจีน ครูจะขอให้เลือกสอบ PSLE จีนด้วย ถึงจะฉุดคะแนนหน่อย แต่รับประกันว่าน้องจะพูด อ่าน เขียนจีนได้ และนั้นก็จะดีกว่าการได้ Good school แต่ไม่ได้ภาษาจีนนะคะ) หากเข้าไปตอนมัทยม1ขึ้น จะ Catch up ให้ทันนั้นค่อนข้างยาก เพราะเค้าจะเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์กันแล้ว ทำให้เกินเราไปหลายขั้น นะคะ

4. การสมัครสอบเรียนสิงคโปร์

หากเค้าเปิดรับสมัครสอบ 20วัน อย่ารอจนถึงวันที่ 20 ค่อยสมัคร เพราะเกิดขึ้นมาแล้วคือ ที่นั่งเต็ม! สมมุติเค้าเปิดรับสมัครสอบวันที่20 เอกสารการสมัครสอบ ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนวันที่ 19  แราใช้เวลาแปลเอกสารก็ 3 วันแล้ว ให้เผื่อเวลา วันที่ 20 เราจะได้สมัครได้เลย  อย่าลืมว่าเรากำลังสอบแข่งกันทั่วโลก หากสนามสอบเต็ม เราก็อดสอบ ถึงแม้เราอาจจะรู้ว่าเราสอบครั้งนี้เราทำได้ก็ตาม

สอบถามข้อมูลจากครูเบล

ผู้ปกครอง และน้องๆ ที่สนใจ สามารถแชทคุยกับครูเบลได้เลยนะคะ